ประเทศไทยตรงกลางระหว่างกฎหมายและสิทธิมนุษยชน
กำลังเป็นกระแสอย่างกระหน่ำบนโลกออนไลน์กับแฮชแท็ก SaveHakeen และแฮชแท็ก BoycottThailandที่มีสาเหตุมาจากกรณีนายฮาคีม อัลอาไรบี นักเตะสัญชาติบาห์เรน แต่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยประเทศออสเตรเลียอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยพร้อมภรรยาซึ่งถือเป็นการเดินทางออกนอกประเทศออสเตรเลียเป็นครั้งแรกแต่กลับมาถูกจับกุมที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประเทศไทย ตามที่บาร์เรนแจ้งคดีไว้กับอินเตอร์โพล หรือองค์กรตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ประเทศไทยกำลังกลายเป็นผู้ถือสถานะของคนกลางที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์และถาโถมอย่างกระหน่ำ โดยประชาชนทั้งไทยและเทศต่างก็เรียกร้องให้ปล่อยตัวฮาคีมกลับประเทศออสเตรเลีย เพราะด้วยสถานะผู้ลี้ภัยจึงมีสิทธิ์ในการคุ้มครอง แต่ด้วยหลักการทางกฎหมายสากล ประเทศบาห์เรนก็ถือเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องตัวผู้ต้องหาตามคดีหมายเรียกของประเทศ ซึ่งประเทศไทยก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าประเทศที่ฮาคีมควรจะกลับไปนั้นต้องเป็นประเทศใดระหว่าง บาห์เรนและออสเตรเลีย
หากมองในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใคร สัญชาติไหน การใช้ชีวิตแบบใด ย่อมมีสิทธิของความเป็นมนุษย์ที่เท่าธรรมกัน นอกเสียจากบางกรณีที่จำเป็นต้องถูกจำกัดสิทธิอันมีสาเหตุมาจากการกระทำที่ผิดกฎหมาย หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของเพื่อนมนุษย์หรือประเทศชาติ ซึ่งสิทธิมนุษยชนนั้น จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าความเป็นมนุษย์ ว่าด้วยเรื่องของศักดิ์ศรี ความเท่าเทียม ความเคารพในสิทธิของกันและกัน รวมถึงความเป็นอิสระของชีวิตด้วย และอย่างในกรณีของฮาคีมที่ทั่วโลกต่างก็เรียกร้องให้ประเทศไทยคำนึงถึงสิทธิความเป็นมนุษยชน โดยมีความต้องการให้ไทยส่งตัวฮาคีมกลับประเทศออสเตรเลียตามคำเรียกร้องของนายฮาคีมแต่การเรียกร้องดังกล่าวกำลังกลายเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของประเทศไทยมิใช่น้อย เพราะกระแสการเรียกร้องนั้นกำลังสวนทางกับหลักปฏิบัติทางกฎหมาย หากเป็นเช่นนี้แล้วประเทศไทยควรจะเลือกทางไหนดี
กระนั้น ประเทศไทยก็ยังไม่มีคำตอบให้คนทั่วโลกว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ทำได้แต่เพียงควบคุมตัวไว้ชั่วคราวตามคำร้องขอความร่วมมือจากประเทศบาห์เรนเท่านั้นแต่ถ้าพูดกันตามความจริงแล้ว การที่ประเทศไทยถูกโจมตีอย่างหนักนั้นแท้จริงมันเป็นความผิดที่เกิดจากการกระทำของประเทศอย่างนั้นหรือ ถ้าในเมื่อประเทศไทยไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดกับการจับกุมฮาคีมในครั้งนี้ ทำไมถึงต้องกลายเป็นผู้ต้องหาของสังคมระดับโลก นี้หรือคือสิทธิมนุษยชนที่ประเทศได้รับ
ถ้าทุกคนทั่วโลกต่างที่จะมุ่งเน้นการพูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนของนายฮาคีม ก็จงอย่าลืมความเป็นสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยด้วย เพราะการถูกโจมตีและกลายเป็นกระแสสังคมในระดับประเทศคงไม่ใช่เรื่องที่จะน่าภูมิใจมากสักเท่าไร ยิ่งต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยแล้ว คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายอย่างแน่นอน